วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

พุทธประวัติ










ประวัติวัดไพชยนต์พลเสพย์ ราชวรวิหาร



วัดไพชยนต์พลเสพย์ ราชวรวิหาร

วัดไพชยนต์พลเสพย์เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ตำบลบางพึ่ง
อำเภอพระประแดงจังหวัดสมุทรปราการ ประวัติของวัดนี้มีเรื่องราวปรากฏอยู่ในหนังสือ
พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๒ พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า “ในคราวเมื่อสร้างป้อมเมืองสมุทรปราการ ทรงพระราชดำริว่า
ป้อมที่ได้สร้างขึ้นที่เมืองนครเขื่อนขันธ์ แต่ก่อนก็ยังค้างอยู่ไม่สำเร็จสมบูรณ์ จึงโปรดให้
พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นศักดิพลเสพ เป็นแม่กอง ทำการสร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์ที่ยัง
ค้างอยู่ให้สร้างป้อมขึ้นอีกป้อมขึ้นอีกป้อมหนึ่ง ชื่อ ป้อมเพชรหึง เปลี่ยนให้ขุดคลองลัดหลัง
เมืองนครเขื่อนขันธ์ คลองหนึ่งมาทะลุออกคลองตาลาว  คลองลัดที่ขุดใหม่นี้ เมื่อขุดกว้าง
๖ วา ลึก ๕ ศอก ยาว ๕๐ เส้น กรมหมื่นศักดิพลเสพ ทรงสร้างวัดขึ้นในคลองลัดที่ขุดใหม่นี้
วัดหนึ่ง พระราชทานนามว่า วัดไพชยนต์พลเสพย์ พระเพชรพิชัย (เกศ) ซึ่งเป็นนายงาน
สร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์ สร้างวัดหนึ่งขึ้น ใกล้กับวัดไพชยนต์พลเสพย์ ชื่อวัดโปรดเกศฐาราม
ยังเป็นพระอารามหลวงอยู่จนทุกวันนี้ทั้งสองวัด

จากหลักฐานนี้ทำให้ทราบว่าวัดนี้ได้สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธ-
เสิศหล้านภาลัย พร้อมๆ กับการขุดคลองปากลัด แต่จะสร้างขึ้นเมื่อปีใด
และคลองปากลัดจะขุดขึ้นในปีใดไม่มีบอกไว้ อย่างไรก็ตาม อาจจะประมาณ
ได้ว่าไม่ก่อนปี พ.ศ.๒๓๖๒ เพราะในพระราชพงศาวดารกล่าวว่าปีนี้เป็นปีที่
เริ่มสร้างป้อมเมืองสมุทรปราการหลายป้อมด้วยกัน เพื่อป้องกันญวนที่อาจจะยกมา
ทางทะเล และในคราวสร้างป้อมเมืองสมุทรปราการนี้เอง ก็ได้ขุดคลองลัด
และสร้างวัดไพชยนต์พลเสพย์ ขึ้นดังที่กล่าวข้างต้น

ผู้สร้างวัดนี้คือ กรมหมื่นศักดิพลเสพ ซึ่งทรงดำรงพระยศเป็นเจ้าต่างกรม
กำกับราชการในกรม พระกลาโหม ในรัชกาลที่ ๒  แลละต่อมาได้เลื่อนยศเป็นกรม
พระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ในรัชกาลที่ ๓ ชื่อของวัดที่ว่า ไพชยนต์พลเสพย์” นี้
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงสันนิษฐานว่าคงจะเป็นนามใหม่เดิมเมื่อแรก
สร้างในรัชกาลที่ ๒ เห็นจะเรียกว่า วัดกรมศักดิ หรือ วัดปากลัด ถึงรัชกาลที่ ๓
คนทั้งหลายก็คงจะเรียกว่า วัดวังหน้า ที่ในพระราชราชพงศาวดารอ้างว่า
พระราชทานนามว่า วัดไพชยนต์พลเสพย์นั้น เห็นจะไม่หมายถึง
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชทานไว้แต่แรกสร้างก็ได้
เพราะมีเค้าเงื่อนตามพระวินิจฉัยของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพในหนังสื
อสาสน์สมเด็จ ซึ่งทรงแน่พระทัยว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นผู้พระราชทานนามในเวลาต่อมา


บุษบกยอดปรางค์” (ที่อยู่วัดไพชยนต์พลเสพย์) กรมพระราชวังบวรฯ รัชกาลที่ ๑
ทรงสร้างประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ มีเรื่องปรากฏว่า
เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์นั้นสวรรคตแล้ว การพิทักษ์รักษาในวังหน้า
หละหลวมถึงมีผู้ร้ายขึ้นลักเครื่องบูชาในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงโปรดฯ ให้เชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมาไว้ใน
พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ปรากฏในจดหมายเหตุครั้งรัชกาลที่ ๓
ว่าตั้งไว้บนฐานชุกชีทางด้านใต้) แต่บุษบกยอดปรางค์นั้นยังอยู่ใน
พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ จนสิ้นรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๒ ไม่ได้เชิญพระรพุทธสิหิงค์
กลับไปไว้วังหน้า บุษบกนั้นตั้งว่างอยู่เปล่าๆ กรมพระราชวังบวรฯ รัชกาลที่ ๒
จึงโปรดฯ ให้ย้ายเอาไปไว้ในที่อื่น (จะเอาไปไว้ไหนไม่ปรากฏ) แล้วตั้งพระที่นั่งเศวตฉัตร
ในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์แทนบุษบกนั้น

ถึงรัชกาลที่ ๓ กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ จึงโปรดฯ ให้เอาบุษบกยอดปรางค์
นั้นไปตั้งเป็นที่ประดิษฐานพระประธานที่ในพระอุโบสถวัดไพชยนต์พลเสพย์
ซึ่งเป็นวัดที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นในคลองปากลัด จังหวัดพระประแดง แต่เมื่อยังเป็น
เจ้าต่างกรมอยู่ในรัชกาลที่ ๒ สังเกตดูบุษบกนั้นเป็นฝีมือช่างชั้นหลังปะปนของเดิมอยู่
สันนิษฐานว่าเห็นจะทอดทิ้งจนดูชำรุดทรุดโทรมมาก กรมพระราชวังบวรฯ รัชกาลที่ ๓
ไปทอดพระเนตรเห็น ทรงสังเวชพระหฤทัย จึงโปรดฯ ให้เอาไปถวายเป็นพุทธบูชา
(อย่างว่า ปล่อยพระพุทธบาท”) เห็นจะต้องบูรณปฏิสังขรณ์มาก จึงปรากฏฝีมือ
ช่างสมัยหลังปะปนอยู่ถึงป่านนี้  อนึ่งซึ่งวัดนั้นมีนามว่า ไพชยนต์พลเสพย์
พิเคราะห์คำ ไพชยนต์ ดูหมายจะเอาบุษบกนั้นเป็นนิมิต และคำว่า พลเสพย์
มาแต่สร้อยพระนามของกรมพระราชวังบวรฯ รัชกาลที่ ๓ ซึ่งถวายบุษบกนั้น
ชวนให้เห็นว่านามไพชยนต์พลเสพย์ คงจะเป็นนามใหม่ซึ่งพระบาทสมเด็จ-
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงขนานนามเมื่อในรัชกาลที่ ๔

วัดไพชยนต์พลเสพย์ เมื่อแรกสร้าง กรมหมื่นศักดิพลเสพ คงจะได้เป็นพระธุระ
อุปการะมาตลอด และเมื่อกรมหมื่นศักดิพลเสพ ได้ทรงดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรฯ
ในรัชกาลที่ ๓ วัดนี้ก็คงจะมีความสำคัญมากขึ้น และคงจะมีฐานะเป็นพระอารามหลวง
ในรัชกาลนี้ ประกอบทั้งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชนิยมใน
การสร้างวัด ถึงกีบมีคำพังเพยเล่าสืบต่อกันมาในรัชกาลที่ ๑ ว่า ใครรบทัพจับศึกเก่ง
ก็เป็นคนโปรด ในรัชกาลที่ ๒ ใครเป็นนักเลงกลอนก็โปรด ในรัชกาลที่ ๓ ใครสร้างวัดวาอารา
มก็เป็นคนโปรด เพราะฉะนั้นวัดไพชยนต์พลเสพย์ ก็คงจะรุ่งเรืองมากในรัชกาลที่ ๓
นอกจากนี้ยังมีหมายรับสั่งในรัชกาลที่ ๓ เรื่องการบูรณะซ่อมแซมพระอารามนี้ว่า
มีรับสั่งให้นำทองคำเปลวไปจ่ายให้ช่างรักปิดเสาเม็ดราวเทียนในพระอุโบสถ กระจังเสามุขเด็จ
หน้าหลังพระวิหารใหญ่ ในรัชกาลต่อ ๆมา ไม่มีหลักฐานว่าวัดนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์
หรือไม่ อย่างไรก็ตามวัดนี้ยังคงมีฐานะเป็นพระอารามหลวง ตราบเท่าทุกวันนี้

ที่ตั้งวัด
ขนานไปตามคลองลัดหลวง ด้านทิศตะวันออกตลอดหน้าวัด  ยาว ๔ เส้น ๖ วา
ด้านทิศเหนือเลียบเข้าไปในคลองซอย ชื่อคลองเพลง กว้าง ๓เส้น ๕ วา
ด้านทิศตะวันตกสุดเขตมีคูหักมุมเลียบไปตามหลังวัด ยาว ๕ เส้น ๓ วา
ด้านทิศใต้มีลำประโดงไปทะลุหน้าวัดจรดคลองลัดหลวง ยาว ๓ เส้น ๑๑ วา
คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ ๑๕ ไร่ ๑ งาน ๑๔๘ ตารางวา

กุฏิ
แต่ก่อนทราบว่ามีอยู่ถึง ๕ คณะ ส่วนราชาคณะอยู่หลังพระวิหารด้านใต้ ภายหลัง
ถูกรื้อถอนของช่างเก่าไปปฏิสังขรณ์ของเก่าด้วยกันให้ดีขึ้น สมัยนั้นทางวัด
อาจเสื่อมลงมีภิกษุอาศัยน้อยรูป กล่าวกันว่าศาลาและกุฏินอกเขตทางด้านใต้
ออกไปก็เคยมี ต่อมาไม่มีผู้ดูแลจึงรื้อถอนเข้ามารวมในคณะสงฆ์เป็นอันเดียวกันจน
ที่เหล่านั้นกลายเป็นสวนไปหมดในสมัยหลวงพ่อพระราชวิริยาภรณ์หาเป็นที่สวน
ไม่เจอกลายเป็นที่บ้านเต็มไปหมด ในอดีตเฉพาะเขตวัดมีหอระฆังเครื่องไม้จริง
ฐานก่ออิฐถือปูน หอไตรฝาไม้กระดาน เสาไม้จริงอยู่หน้าจงกรมด้านเหนือ

ศาลาดินหน้าวัด ๔ หลัง ศาลาท่าน้ำ ๒ หลัง อยู่ริมคลองลัดหลวง กับหมู่กุฏิเลียบ
ไปตามคลองเพลงมีอีก ๒ คณะ หอสวดมนต์และหอฉันพร้อม

และยังมีศาลาท่าน้ำแบบทรงไทยสร้างด้วยไม้สักทั้งหลังมีช่อฟ้าใบระกาสมัยข้าพเจ้า
เป็นสามเณรมาเรียนบาลียังเคยเห็นสมัยนี้หาสภาพเช่นนั้นไม่พบแล้ว